วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส (mitosis)


การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส (mitosis)




การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส เป็นการแบ่งเซลล์ เพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ของร่างกาย ในการเจริญเติบโต ในสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ หรือในการแบ่งเซลล์ เพื่อการสืบพันธุ์ ในสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว และหลายเซลล์บางชนิด เช่น พืช
  • ไม่มีการลดจำนวนชุดโครโมโซม (2n ไป 2n หรือ n ไป n )
  • เมื่อสิ้นสุดการแบ่งเซลล์จะได้ 2 เซลล์ใหม่ที่มีโครโมโซมเท่าๆ กัน และเท่ากับเซลล์ตั้งต้น
  • พบที่เนื้อเยื่อเจริญปลายยอด, ปลายราก, แคมเบียม ของพืชหรือเนื้อเยื่อบุผิว, ไขกระดูกในสัตว์, การสร้างสเปิร์ม และไข่ของพืช
  • มี 5 ระยะ คือ อินเตอร์เฟส (interphase), โพรเฟส (prophase), เมทาเฟส (metaphase), แอนาเฟส (anaphase) และเทโลเฟส (telophase)
วัฏจักรของเซลล์ (cell cycle)
วัฏจักรของเซลล์ หมายถึง ช่วงระยะเวลาการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ ในขณะที่เซลล์มีการแบ่งตัว ซึ่งประกอบด้วย 2 ระยะได้แก่ การเตรียมตัวให้พร้อม ที่จะแบ่งตัว และกระบวนการแบ่งเซลล์
1. ระยะอินเตอร์เฟส (Interphase)
ระยะนี้เป็นระยะเตรียมตัว ที่จะแบ่งเซลล์ในวัฏจักรของเซลล์ แบ่งออกเป็น 3 ระยะย่อย คือ
  • ระยะ G1 เป็นระยะก่อนการสร้าง DNA ซึ่งเซลล์มีการเจริญเติบโตเต็มที่ ระยะนี้ จะมีการสร้างสารบางอย่าง เพื่อใช้สร้าง DNA ในระยะต่อไป
  • ระยะ S เป็นระยะสร้าง DNA (DNA replication) โดยเซลล์มีการเจริญเติบโต และมีการสังเคราะห์ DNA อีก 1 ตัว หรือมีการจำลองโครโมโซม อีก 1 เท่าตัว แต่โครโมโซมที่จำลองขึ้น ยังติดกับท่อนเก่า ที่ปมเซนโทรเมียร์ (centromere) หรือไคเนโตคอร์ (kinetochore) ระยะนี้ใช้เวลานานที่สุด
  • ระยะ G2 เป็นระยะหลังสร้าง DNA ซึ่งเซลล์มีการเจริญเติบโต และเตรียมพร้อม ที่จะแบ่งโครโมโซม และไซโทพลาสซึมต่อไป
2. ระยะ M (M-phase)
ระยะ M (M-phase) เป็นระยะที่มีการแบ่งนิวเคลียส และแบ่งไซโทพลาสซึม ซึ่งโครโมโซม จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายขั้นตอน ก่อนที่จะถูกแบ่งแยกออกจากกัน ประกอบด้วย 4 ระยะย่อย คือ โพรเฟส เมทาเฟส แอนาเฟส และเทโลเฟส
ในเซลล์บางชนิด เช่น เซลล์เนื้อเยื่อเจริญของพืช เซลล์ไขกระดูก เพื่อสร้างเม็ดเลือดแดง เซลล์บุผิว พบว่า เซลล์จะมีการแบ่งตัว อยู่เกือบตลอดเวลา จึงกล่าวได้ว่า เซลล์เหล่านี้ อยู่ในวัฏจักรของเซลล์ตลอด แต่เซลล์บางชนิด เมื่อแบ่งเซลล์แล้ว จะไม่แบ่งตัวอีกต่อไป นั่นคือ เซลล์จะไม่เข้าสู่วัฏจักรของเซลล์อีก เข้าสู่ G0 จนกระทั่งเซลล์ชราภาพ (cell aging) และตายไป (cell death) ในที่สุด แต่เซลล์บางชนิด จะพักตัวหรืออยู่ใน G0 ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ถ้าจะกลับมาแบ่งตัวอีก ก็จะเข้าวัฏจักรของเซลล์ต่อไป
ขั้นตอนต่างๆของโมโทซิส

ระยะการแบ่ง
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ
อินเตอร์เฟส (Interphase)
  • เพิ่มจำนวนโครโมโซม (Duplication) ขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง และติดกันอยู่ที่เซนโทรเมียร์ (1โครโมโซม มี 2 โครมาทิด)
  • มีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีมากที่สุด (metabolic stage)
  • เซนตริโอ แบ่งเป็น 2 อัน
  • ใช้เวลานานที่สุด , โครโมโซมมีความยาวมากที่สุด
โพรเฟส (Prophase)
  • โครมาทิดหดสั้น ทำให้มองเห็นเป็นแท่งชัดเจน
  • เยื่อหุ้มนิวเคลียสและนิวคลีโอลัสหายไป
  • เซนตริโอลเคลื่อนไป 2 ข้างของเซลล์ และสร้างไมโทติก
  • สปินเดิลไปเกาะที่เซนโทรเมียร์ ระยะนี้จึงมีเซนตริโอล 2 อัน
เมตาเฟส (Metaphase)
  • โครโมโซมเรียงตัวตามแนวกึ่งกลางของเซลล์
  • เหมาะต่อการนับโครโมโซม และศึกษารูปร่างโครงสร้างของโครโมโซม
  • เซนโทรเมียร์จะแบ่งครึ่ง ทำให้โครมาทิดเริ่มแยกจากกัน
  • โครโมโซมหดสั้นมากที่สุด สะดวกต่อการเคลื่อนที่
แอนาเฟส (Anaphase)
  • โครมาทิดถูกดึงแยกออกจากกัน กลายเป็นโครโมโซมอิสระ
  • โครโมโซมภายในเซลล์เพิ่มเป็น 2 เท่าตัว หรือจาก 2n เป็น 4n (tetraploid)
  • มองเห็นโครโมโซม มีรูปร่างคล้ายอักษรรูปตัว V , J , I
  • ใช้เวลาสั้นที่สุด
เทโลเฟส (Telophase)
  • โครโมโซมลูก (daughter chromosome) จะไปรวมอยู่ขั้วตรงข้ามของเซลล์
  • เยื่อหุ้มนิวเคลียส และนิวคลีโอลัสเริ่มปรากฏ
  • มีการแบ่งไซโทพลาสซึม เซลล์สัตว์ เยื่อหุ้มเซลล์คอดเข้าไป บริเวณกลางเซลล์ เซลล์พืช เกิดเซลล์เพลท (Cell plate) กั้นแนวกลางเซลล์ ขยายออกไปติดกับผนังเซลล์เดิม
  • ได้ 2 เซลล์ใหม่ เซลล์

เน้นการศึกษาต้องสร้างคนดี ดึงหลัก 3H พัฒนาเด็กสู่ความเป็นเลิศ

เน้นการศึกษาต้องสร้างคนดี ดึงหลัก 3H พัฒนาเด็กสู่ความเป็นเลิศ

                ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา  ผู้อำนวยการโรงเรียนสัตยาไส?แสดงปาฐกถาพิเศษ“คุณภาพโรงเรียน คุณภาพเด็ก” ว่า โรงเรียน ครู อาจารย์ หน่วยงานทางการศึกษาต้องเปลี่ยนการเรียนการสอนที่มุ่งแต่สร้างคนเก่ง กลับมาจัดการศึกษาตามเป้าหมายของ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2545มาตรา  6 การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข  ดังนั้น ต้องเน้นการสร้างคนดี

                ดร.อาจอง ยังกล่าวต่อไปอีกว่า หน้าที่ของโรงเรียนและครู ต้องสอนให้เด็กคิดดี พูดดี ทำดี และบูรณาการเรื่องคุณธรรม จริยธรรมลงไปในทุกวิชาที่สอน ครูต้องแก้ปัญหาให้เด็ก ใส่ความคิดให้เด็กรู้จักคิด วิเคราะห์ เป็นตัวอย่างที่ดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง เพราะสังคมโลกในปัจจุบันทำลายและสร้างปัญหาตลอดเวลาให้กับเด็ก ครูจึงเป็นคนสุดท้ายที่จะช่วยเหลือเด็ก เพราะเราสู้สังคมโลกไม่ได้ ดังนั้น ต้องต่อสู้หาวิธีการในการสร้างความดีที่ถาวร เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็ก ด้วยการยกระดับจิตใจของเด็กให้สูงขึ้น เช่น สวดมนต์ นั่งสมาธิ จิตใจก็สงบ สูงขึ้น เด็กจะรู้ด้วยตัวของเขาเอง
ดร.อาจองกล่าวอีกว่า จิตใจอยู่เหนือสมอง เพราะสมองเป็นเครื่องมือ จิตใจจึงสำคัญกว่า ดังนั้น การเรียนรู้ต้องใช้จิตใจเป็นหลัก เป็นหน้าที่ของครูที่ต้องสอนให้เด็กมีจิตใจดี ส่งความคิดที่ดีลงไปในจิตใต้สำนึกของเด็ก ให้เด็กคิดดี ทำดี มีความสามัคคี กล้าหาญ ฝ่าฟันอุปสรรค เพื่อพัฒนาการเรียนของเด็กสู่ความเป็นเลิศอย่างแท้จริง ไม่ใช่เฉพาะ เก่งด้านวิชาการ พร้อมทั้งฝึกเด็กทุกคนให้มี?3H?คือ?Head Heart Hand?ให้เด็กรู้จักการกรองความคิด อารมณ์ สู่การกระทำ ดังนั้น วิธีการเรียนการสอน ต้องเข้าใจจิตใจของเด็ก มีความรัก เมตตาตลอดเวลา ก็จะเปลี่ยนแปลงเด็กให้เป็นคนดี คนเก่งของสังคมได้


                                                 บทความคัดลอกมาจาก
                                                                   http://www.ryt9.com/s/nnd/1703289

Carbon Footprint

Carbon Footprint


       การส่งเสริมการใช้คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ของผลิตภัณฑ์
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นจากการใช้พลังงาน การเกษตร การพัฒนาและขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม การขนส่ง รวมถึงการตัดไม้ทำลายป่าและการทำลายสิ่งแวดล้อมในรูปแบบอื่นๆ ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพของมนุษย์ สิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อมที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดภาวะโลกร้อน จึงเป็นหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรมในฐานะผู้ผลิต ภาคบริการในฐานะผู้ขับเคลื่อนกิจกรรม รวมถึงภาคประชาชนในฐานะผู้บริโภค

         การเลือกซื้อสินค้าหรือบริการที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อย จึงเป็นทางหนึ่งที่ผู้บริโภคจะมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก และยังเป็นกลไกทางการตลาดในการกระตุ้นให้ผู้ผลิตพัฒนาสินค้าที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามความต้องการของผู้บริโภคด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคจำเป็นต้องมีข้อมูลในการตัดสินใจเลือกซื้อ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพตลอดจนให้คำแนะนำแก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก จึงได้พัฒนาโครงการส่งเสริมการใช้คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ของผลิตภัณฑ์ขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดประกอบการตัดสินใจ และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทยในการแข่งขันในตลาดโลก
             "คาร์บอนฟุตพริ้นท์" หมายถึง ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์แต่ละหน่วย ตลอดวัฎจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ การขนส่ง การประกอบชิ้นส่วน การใช้งาน และการจัดการซากผลิตภัณฑ์หลังใช้งาน โดยคำนวณออกมาในรูปของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
เครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ที่จะติดบนสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ นั้น เป็นการแสดงข้อมูลให้ผู้บริโภคได้ทราบว่า ตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาปริมาณเท่าไหร่ ตั้งแต่กระบวนการหาวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การใช้งาน และการกำจัดเมื่อกลายเป็นของเสีย ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจชื้อของผู้บริโภค และกระตุ้นให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น การใช้คาร์บอนฟุตพริ้นท์ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกด้วย เนื่องจากขณะนี้ในหลายประเทศเริ่มมีการนำคาร์บอนฟุตพริ้นท์มาใช้กันแล้ว ทั้งในอังกฤษ ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ แคนาดา ญี่ปุ่น และเกาหลี เป็นต้น และมีการเรียกร้องให้สินค้าที่นำเข้าจากประเทศไทยต้องติดเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ด้วย นอกจากนั้น หากประเทศไทยมีการดำเนินโครงการและเก็บข้อมูลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ชัดเจน จะช่วยให้เรามีอำนาจในการต่อรองมากขึ้นในการประชุมระดับโลกเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน


บทความคัดลอกมาจาก

ท่านมองตัวเองอย่างไร


บทความดีๆ ท่านมองตัวเองอย่างไร?


          เป็นเรื่องจริงของหญิงสาวคนหนึ่งน่าสนมาก......... 
   

              สาวชาวไต้หวันผู้หนึ่ง เป็นโรคสมองพิการ ( cerebral palsy) แต่กำเนิดไม่สามารถเคลื่อนไหวตามปรกติ และพูดจาไม่ได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธาเธอสามารถเรียนจบปริญญาเอกจากสหรัฐฯ แล้วแสดงทัศนคติของเธอในที่ต่างๆ เพื่อให้กำลังใจและช่วยเหลือผู้อื่น
ครั้งหนึ่ง เธอรับเชิญไปบรรยายด้วยการเขียน (คนพูดไม่ได้ต้องใช้วิธีเขียน)หลังบรรยายเสร็จ มีนักเรียนคนหนึ่งตั้งคำถามว่า
“ท่านอยู่ในสภาพนี้โดยกำเนิด แล้วท่านไม่รู้สึกน้อยใจรึ? ท่านมองตัวเองอย่างไร?”
คำถามอันละเอียดอ่อนนี้ สร้างความตะลึงแก่ที่ประชุมไม่น้อย ต่างเกรงว่าคำถามนี้จะทิ่มแทงจิตใจของเธอ ปรากฏว่า เธอหันหน้าไปยังแผ่นกระดาน เขียนตัวหนังสืออย่างไม่สะทกสะท้านว่า
“ฉันมองดูตัวเองอย่างไร?”
เธอหันหน้ายิ้มให้ผู้ร่วมประชุม แล้วเขียนข้อความต่อ
              1.ฉันน่ารักมาก
              2.ขาฉันเรียวยาวสวยดี
              3.คุณพ่อคุณแม่รักฉันจัง
              4.พระเจ้าประทานรักแก่ฉัน
              5.ฉันวาดภาพได้ ฉันแต่งหนังสือได้
              6.ฉันมีแมวที่น่ารัก
                         และ….
ขณะนั้น ที่ประชุมเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดจาใดๆ เธอหันกลับมามองดูทุกคน แล้วเขียนคำสรุปบนแผ่นกระดานว่า
“ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด”
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสียงปรบมือดังสนั่นในที่ประชุมพร้อมทั้งน้ำตาที่สะเทือนใจจากหลายๆคน ณ วันนั้น ทัศนคติเชิงสุขนิยมและบทพิสูจน์ของเธอเพิ่มกำลังใจแก่ผู้คน มากมาย ผู้เป็นโรคสมองพิการผู้นี้คือ น.ส.หวางเหม่ยเหลียน ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตจาก UCLA ผู้เคยจัดนิทรรศการภาพเขียนส่วนตัวหลายครั้งในไต้หวัน
“ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด” ฉันชอบทัศนคติต่อชีวิตแบบนี้ ซึ่งถูกหลักสุขภาพจิตและสบายใจด้วย
ความสุขไม่ได้อยู่ที่คุณครอบครองสิ่งใดมากแค่ไหน แต่อยู่ที่คุณมีทัศนคติอย่างไรในการมองสิ่งต่างๆ

                                 - See more at: http://www.kwamru.com/233#sthash.vayrFyQz.dpuf

11 ข้อเสียคนไทย



11 ข้อเสียคนไทย... ในมุมมองผู้บริหารฝรั่ง 
    ดูผลสำรวจคนไทยในทรรศนะผู้บริหารชาวต่างชาติ 11 คน มองคนไทยได้ 11 ลักษณะ จะตรงกับความจริงแค่ไหนก็ลองดู เผื่อนำไปแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น



เขาว่าคนไทย "ชอบโกหกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ" เช่น มาสาย...ขาดงาน โดยอ้างว่าป่วย และมักจะนำ "เพื่อนฝูง" มาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเสมอ เช่น การ "จัดซื้อ" ข้าวของภายในสำนักงาน โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่บริษัทควรจะได้รับเมื่อพบว่าเพื่อนทุจริตก็จะช่วยกันปกป้องไม่รู้ไม่เห็น



คนไทยแยกไม่ออกระหว่าง "เรื่องงาน" กับ "เรื่องส่วนตัว" ชอบเอาทั้งสองอย่างมาปนกัน และคุยกันเรื่องส่วนตัวมากกว่าเรื่องงาน มักจะยึดติดกับ "ความเคยชินแบบเดิมๆ" เคยทำมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่มี "ความคิด" ที่จะเปลี่ยนแปลงถ้า เอาวิธีใหม่ๆ เข้ามา ก็จะไม่ได้รับความร่วมมือ เมื่อมีการเจรจา "ไม่กล้าโต้แย้ง" ทั้งๆ ที่ตัวเองกำลัง "เสียเปรียบ" ปล่อยให้อีกฝ่ายเป็น "คนคุมเกม" นิสัยขี้เกรงใจจึงทำให้คนไทยไม่ก้าวหน้า



นอกจากนี้ "ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด" ไม่กล้าบอกความคิดของ ตัวเองออกมา ทั้งที่มีความคิดดีๆไม่แพ้ชาติใดเลย แต่มักจะเก็บความสามารถไว้ไม่บอกให้เจ้านายได้รู้ และ "ไม่กล้าตั้งคำถาม" ทำให้ทำงานไปคนละเป้าหมาย หรือ "ทำงานไม่สำเร็จ"



ในการทำงานคนไทยจะมีนิสัย "ไม่ค่อยกำหนดระยะเวลา ไว้ล่วงหน้า" งานไหนให้เวลานานๆ ก็ยิ่งทิ้งไว้ทำตอนใกล้ๆ จะถึงกำหนดส่ง เลยทำแบบรีบๆ ไม่ได้ผลงานเท่าที่ควร และ "ไม่ค่อยมีแผน" รองรับเวลาเกิดปัญหา แต่จะรอให้เกิดก่อน แล้วหาทางแก้ไปแบบเฉพาะหน้า ชอบให้นายสั่งลงมาก่อน แล้วค่อยทำตาม



คนไทยจะบอกแต่ข่าวดี จะเลือกบอกแต่สิ่งที่คิดว่า เจ้านายจะชอบ เช่น บอกแต่ข่าวดีๆแทนที่จะเล่าตามความจริง



"คำพูดว่าไม่เป็นไร" เป็นคำพูดติดปาก เวลามีปัญหาก็จะไม่มีใครรับผิดชอบ จะไม่ค่อยหาตัวคนทำผิด ด้วยเพราะเกรงใจกัน แต่จะใช้คำว่าไม่เป็นไรแทน



คนไทยไม่ค่อยมี "ทักษะ" ในการทำงาน รวมถึงไม่ค่อยใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อจะให้ได้ "ผลงานที่ดีที่สุด" ไม่กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ความเคลื่อนไหวของโลกเท่าไหร่นัก แล้วไม่ค่อยชอบหาความรู้เพิ่มเติม แม้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานก็ตาม



หากมองด้วยหัวใจเปิดกว้างต้องยอมรับแต่ละคนสะท้อนความเป็นคนไทยได้ตรงเผงจริงๆ เห็นทีต้องรีบปรับปรุงตัวด่วน 


                                                              ที่มา ข่าวสดออนไลน์ วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

บทสรุปที่ได้จากการสอบ... วิชาจิตวิทยาสำหรับครู

บทสรุปที่ได้จากการสอบ... วิชาจิตวิทยาสำหรับครู

แรงจูงใจในการเรียนรู้
หัวใจของการศึกษาอยู่ที่การเรียนการสอน หัวใจของการเรียนการสอนอยู่ที่...จิตวิทยาของครู


คุณลักษณะที่ครูพึงมี

Teacher
T...........................Teach  
e............................ethics
a............................academic
c............................characteristic
h............................human relationship
e............................evaluation
r.............................research




วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วิธีเตรียมสอบให้พร้อมทีสุด

                          

สอบอีกแล้ว... อย่าวิตกกันไปเลย 



เรามาเตรียมตัวลงสู่สนามสอบกันดีกว่า.....

ก่อนการสอบ
1. ทบทวน ท่อง ทฤษฎีบทหรือนิยาม ของบทเรียนที่จะมีการสอบ ให้ได้อย่างขึ้นใจ ชนิดที่ว่าแม้พิสูจน์โจทย์ข้อสอบนั้นไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถแสดงความสัมพันธ์ของโจทย์กับทฤษฎีบทหรือนิยามนั้นๆ ให้อาจารย์ผู้ตรวจข้อสอบอ่านได้อย่างถูกต้อง รับรองว่าต้องได้คะแนนข้อนั้นอย่างแน่นอน จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับลายมือผู้สอบจะเขียนได้สวยแค่ไหน
2. ทบทวนแบบฝึกหัดทุกข้อ ที่อาจารย์ผู้สอนชอบย้ำนักหนาในห้องว่า "ข้อสอบก็ออกในแนวนี้ละ" หรืออาจารย์บางท่านก็พูดย้ำตรงๆ เลยว่า "ข้อนี้ออก............นะ" ดังนั้นเวลาเรียนถ้าเจออาจารย์พูดแบบนี้ ก็อย่าลืมเอาปากกาแดงทำ * กา ไว้ที่แบบฝึกหัดข้อนั้นให้ใหญ่ๆ เลยทีเดียว รับรองไม่พลาด ถ้าข้อไหนทวนหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ให้ฝึกเขียนหลายๆครั้ง จนจำขึ้นใจ
3. เตรียมอุปกรณ์เครื่องเขียนที่จะใช้ในการสอบให้พร้อม ข้อนี้สำคัญมากกกกกกนะเพราะจะได้ไม่ต้องไปยืมาชวบ้านเค้า และต้องเข้านอนแต่หัวค่ำทำใจให้ผ่องใส อย่าลืมสวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิทำใจนิ่งๆว่างๆก่อนนอนสัก 5 นาที จะทำให้ใจสงบและหลับอย่างเป็นสุข พร้อมจะเผชิญอุปสรรค ของวันใหม่
 
4. ตื่นนอนตี 5 ของวันใหม่ ล้างหน้าล้างตาให้สดใส ทบทวนเนื้อหาทั้งหมด ตลอดจนทฤษฎีบท แบบฝึกหัด (ที่ทบทวนไปเมื่อวาน) โดยอ่านแบบผ่านๆ สายตา ความเงียบสงบของเช้าตรู่จะช่วยให้จำได้ดี
 
5. ถึงหน้าห้องสอบก่อนเวลา สัก 10 นาที ตรวจเลขที่นั่งสอบของตนเองให้เรียบร้อย และไม่ต้องสนใจที่จะถกปัญหาเรื่องโจทย์กับใคร ตลอดจนไม่อ่านหนังสือ หรือทบทวนอะไรในหัวสมองอีก ทำใจให้เบิกบานว่างๆ ไม่สนใจคนรอบข้าง
 
6. เมื่อ ผู้คุมสอบเรียกเข้าห้อง เข้านั่งประจำโต๊ะ วางอุปกรณ์เครื่องใช้ เครื่องเขียนในทิศทางที่หยิบใช้ได้ง่าย นั่งตัวตรงทำใจว่างๆ เตือนสติตนเองอีกครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะไม่พยายาม "ทุจริต" ด้วยวิธีการใดๆ ทั้งสิ้น เพราะนั้นเท่ากับเราหมดภูมิและพยายามฆ่าตัวตายชัดๆ
 
7. รอกรรมการแจกข้อสอบ หรือถ้าข้อสอบวางคว่ำอยู่บนโต๊ะแล้ว ให้รอคำสั่งเปิดข้อสอบ เมื่อเวลาสัญญานเริ่มทำการสอบดังขึ้นขณะทำการสอบจากนั้น..........
1. เปิดข้อสอบเมื่อได้รับคำสั่ง ตรวจสอบเวลาทำการสอบรวมกี่ชั่วโมงที่หัวข้อสอบให้แน่ชัด เสร็จแล้วเขียนชื่อ/นามสกุล ชั้น/ห้อง เลขที่ประจำตัว เลขที่สอบให้เรียบร้อย ขณะเดียวกันให้ฟังกรรมการผู้คุมสอบไปด้วยว่า มีคำสั่งแก้ไขข้อสอบหรือไม่ ถ้ามีให้พลิกข้อสอบ ไปทำการแก้ไขให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงกลับมาเขียนข้อมูลส่วนตัวบนหัวกระดาษคำตอบให้เรียบร้อย
 
2. พลิกดูข้อสอบทั้งหมดมีกี่ข้อ เป็นปรนัยกี่ข้อ อัตนัยกี่ข้อ คำนวณเวลาที่มี โดยปกติข้อสอบอัตนัย 1 ข้อ จะใช้เวลามากกว่าปรนัยประมาณ 3 เท่า ว่าควรจะใช้เวลาคิดได้ข้อละกี่นาที และเหลือเวลาไว้ตรวจสอบคำตอบทั้งหมดในตอนท้ายประมาณ 10 นาที เพราะผู้ออกข้อสอบจะคำนึงถึงเวลาที่ให้กับความยากง่ายของข้อสอบเสมอ
 
3. เมื่อได้เวลาเฉลี่ยต่อข้อในการทำข้อสอบแล้ว พลิกข้อสอบดูคร่าวๆ ตั้งแต่ข้อ 1 ไปถึงข้อสุดท้ายอีกครั้ง เพื่อดูว่าข้อสอบข้อใดบ้างง่ายสำหรับเรา ให้ลงมือทำเลยโดยไล่จากข้อสอบแบบปรนัยไปแบบอัตนัย
 
4. อ่านคำสั่งให้เข้าใจว่าแต่ละส่วนของข้อสอบเขา ให้เราตอบอย่างไร ให้วงกลม กากะบาด หรือเติมคำตอบสั้นๆ จับคู่ หรือแสดงวิธีทำ มีผู้เข้าสอบเป็นจำนวนมากต้องเสียใจกับความผิดพลาด เพราะละเลย ไม่อ่านคำสั่งให้ดี เกี่ยวกับการแสดงคำตอบที่ถูกต้องมามากต่อมากแล้ว
 
5. เริ่มทำข้อสอบที่ยากจากข้อแรกไปตามลำดับ อย่าลืม "การวิเคราะห์โจทย์อย่างมีประสิทธิภาพ" จะช่วยให้วางแผนในการคิดหาคำตอบในแต่ละข้อได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
 
6. ข้อไหนคิดจนหมดเวลาเฉลี่ยแล้วให้ผ่านไปก่อน คิดข้ออื่นต่อไป ถ้ามีเวลาเหลือแล้วค่อยกลับมาทำใหม่ แต่อย่าลืมจะต้องคงเวลาประมาณ 10 นาทีไว้ตอนท้ายสำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของการทำข้อสอบเสมอ
 
7. อย่าเขียนสูตร ทฤษฎีบท นิยาม หรือวิธีคิดใดๆ ไว้บนมือขณะอยู่ในห้องสอบ เพราะจะทำให้เกิดปัญหากับกรรมการคุมสอบได้ง่ายที่สุด ถ้าจำเป็นควรเขียนบนกระดาษทดที่กรรมการคุมสอบแจกมา
 
8. สำหรับข้อสอบแบบอัตนัย ให้เขียนวิธีทำด้วยลายมือที่อ่านง่าย ชัดเจน ได้รูปแบบของการทำโจทย์คณิตศาสตร์ ในชั้นเรียน (ไม่ใช้รูปแบบจากการเรียนพิเศษ ซึ่งนั่นควรเขียนเก็บไว้เพื่อความเข้าใจของตนเองเท่านั้น) เพราะคำตอบที่อ่านง่ายตั้งใจเขียน แม้จะตกหล่น ขาดเกินไปบ้าง ก็ชนะใจผู้ตรวจข้อสอบในเรื่องการให้คะแนนมามากต่อมากแล้ว
 
9. ใช้เวลาช่วง 10 นาทีสุดท้าย ตรวจสอบคำตอบที่เราทำมาทั้งหมด ดูว่าเราทำตกหล่น เผลอเลอ ลืมอะไรตรงไหนอีกหรือไม่ มีผู้สอบที่พลาดการได้คะแนน เพราะความเผลอเลอ ลืม ไม่รอบครอบ ทำให้เสียคะแนน อดได้คะแนน หรือไม่ได้รับการคัดเลือก หรือแพ้เขาเพียง 1 คะแนน มามากต่อมากแล้ว (ใช้เวลาในการคิดจนหมดไม่มีเวลาทบทวน) แต่ อย่าทบทวนในลักษณะคิดวกไป วนมา แก้ไขหลายครั้งแบบสับสนจนทำให้ข้อถูก กลายเป็นข้อผิด เพราะขาดความมั่นใจในตัวเอง ฉะนั้นทุกข้อที่ทำไปแล้วให้ทบทวนเพียงครั้งเดียว
 

10. ส่งกระดาษคำตอบให้กรรมการผู้คุมสอบเมื่อตรวจทานเสร็จหรือได้ยินสัญญานหมดเวลาสอบ ขณะส่งกระดาษให้เหลือบดูที่หัวกระดาษคำตอบสักนิดว่าเขียน ชื่อ/นาม สกุล เลขที่สอบหรือเลขประจำตัว เรียบร้อยแล้วหรือไม่ เพราะยังแก้ไขได้ทัน แต่ถ้าส่งกระดาษ คำตอบไปแล้ว อย่าไปคว้ากลับมาแก้ไขด้วยเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าไม่ได้รับการทวงถามจากกรรมการผู้คุมสอบ

ขอขอบคุณที่มา เด็กดี.คอม


       ตอนนี้..ยังไม่สายที่จะเตรียมตัวสอบ ตราบใดที่การสอบยังไม่สิ้นสุด.....  เป็นกำลังใจให้ทุกคนอ่านหนังสือนะคะ        สู้สู้.........................................................................................................................


อย่าให้สมองอยู่ว่างขวางความทรุดโทรม

อย่าให้สมองอยู่ว่างขวางความทรุดโทรม



คนที่ไม่ปล่อยให้สมองว่าง หมั่นอ่านและเขียนหนังสือ สมองจะเสื่อมช้าลงเมื่อตอนแก่ตัว อายุ 80 ปี ยังทดสอบความจำได้ดีอยู่เลย ทำให้เชื่อได้ว่า การระวังรักษาการปฏิบัติตัว ช่วยให้ความจำเสื่อมช้าได้
คณะนักวิจัยสหรัฐฯ ได้รายงานในวารสาร “ประสาทวิทยา” ว่า ได้ศึกษากับผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีขึ้นไปจำนวน 294 คน โดยการทดสอบความจำและความคิดประจำทุกปี ติดต่อกันจนกระทั่งตาย อยู่นานประมาณ 6 ปี พบว่าคนเหล่านี้ผู้ที่เขียนและอ่านอยู่ประจำ ความจำจะเสื่อมช้ากว่าปกติร้อยละ 32 ขณะคนที่อ่านและเขียนน้อยกว่าเฉลี่ย สมองจะเสื่อมเร็วกว่ากันร้อยละ 42
ดร.โรเบิร์ต วิลสัน ศูนย์แพทย์มหาวิทยาลัยรัช ที่นครชิคาโก หัวหน้านักวิจัย ชี้แจงว่า ถึงแม้จะไม่ได้หมายความถึงขนาดว่าการใช้สมองจะป้องกันสมองไม่ให้เสื่อมได้ แต่ก็ใกล้เข้าไปแล้ว และบอกแนะนำว่า คนเราควรจะเลือกทำสิ่งที่เป็นการกระตุ้นและท้าทายที่ชอบ ควรจะทำไปจนแก่จนเฒ่า”.

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การทดลองการคายน้ำของพืช

สรุป การคายน้ำ

การทดลองการคายน้ำของพืช



อุปกรณ์
1. ขวดน้ำ
2. ถุงพลาสติก
3. มีด หรือกรรไกรตัด
4. ยางเส้น
5. กิ่งไม้ 3 ชนิด  ชนิดละ 3 กิ่ง
6. วาสลีน
7. น้ำกลั่น

วิธีการทดลอง
1. ใส่น้ำกลั่นลงในขวดน้ำ  แล้วนำยางเส้นมาครอบขวดให้อยู่ในระดับเดียวกับน้ำ
2. นำกิ่งไม้ 3 ชนิดทีได้เตรียมไว้ มาตัดใบทิ้ง  โดยให้กิ่งไม้หนึ่งกิ่งในแต่ละชนิดมีใบมากสุด และลดจนเหลือน้อยที่สุด ของกิ่งไม้แต่ละชนิด
3. นำกิ่งไม้ที่มีใบมากที่สุด มาทาวาสลีน เพื่อปิดปากใบ
4. นำกิ่งไม้ทั้งหมดที่ได้เตรียมไว้  ครอบถุงพลาสติก แล้วก็นำไปแช่ในขวดน้ำ
5. นำยางเส้นมาครอบที่ปากขวดน้ำให้ติดถุงพลาสติก หลังจากนั้นนำไปตั้งไว้กลางแดด พร้อมสังเกตการเปลี่ยนแปลง

ผลการทดลอง

จากการทดลอง เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง  กิ่งไม้ที่ถูกแช่ในขวดน้ำ เริ่มที่จะมีการคายน้ำออก วัดจากการลดของน้ำในขวด จะสังเกตได้ว่า กิ่งไม้ที่มีใบน้อยกับกิ่งไม้ที่มีใบมาก จะมีการคายน้ำที่แตกต่างกัน กิ่งที่มีใบมากจะมีการคายน้ำได้ดีกว่า กิ่งที่มีใบน้อย  และจากการสังเกตใบที่ทาวาสลีน  ถึงแม้จะมีใบมากสุด  แต่ผลการคายน้ำ ถือว่ามีการคายน้ำได้น้อย เนื่องจากวาสลีน จะไปปิดที่ปากใบ จึงทำให้เกิดการคายน้ำได้น้อย

สรุปผลการทดลอง

 แสงเป็นตัวช่วยให้เกิดการคายน้ำของพืชออกจากใบ  และการที่พืชจะคายน้ำได้ดีนั้นจะต้องไม่มีอะไรมาปิดที่ปากใบของพืช เพราะ หากมีอะไรมาปิดปากใบจะทำให้พืชคายน้ำไม่สะดวก

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556





  
แง่คิดดีๆ ในการใช้ชีวิต:
Think Good & Live Happily

อย่าเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับของคนอื่นเพราะคุณไม่รู้หรอกว่าที่ผ่านมาพวกเขาเจออะไรมาบ้าง
Don't compare your life to others. You have no idea what their journey is all about.


อย่าเพิ่งมีความคิดที่ไม่ดีในสิ่งที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ แต่จงใช้พลังงานของคุณในการคิดถึงแต่สิ่งดีๆแทน

Don't have negative thoughts or things you cannot control. Instead,
invest your energy in the positive present moment.

อย่าทำอะไรเกินตัว ต้องมีลิมิตของตัวเอง
Don't over do. Keep your limits.


อย่าซีเรียสกับชีวิตให้มากนัก
Don't take yourself so seriously. No one else does.


อย่าเสียเวลาอันมีค่าของคุณไปกับการนินทาชาวบ้าน
Don't waste your precious energy on gossip.


จงฝันในขณะที่คุณตื่นให้มากขึ้น
Dream more while you are awake.


ความอิจฉาเป็นเรื่องเสียเวลา คุณจะอิจฉาไปทำไมในเมื่อคุณก็มีทุกสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว
Envy is a waste of time. You already have all you need.

จงลืมๆเรื่องในอดีตไปเสียบ้าง และอย่าขุดเรื่องผิดพลาดของเพื่อนและคนใกล้ตัวคุณขึ้นมาพูดอีก
เพราะมันจะทำลายความสุขในปัจจุบันของคุณ
Forget issues of the past. Don't remind your partner with his/her mistakes of the past.


ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ฉะนั้นอย่าได้เกลียดใครให้เสียเวลาเลย
Life is too short to waste time hating anyone. Don't hate others.

จงสร้างสันติภาพกับอดีตของคุณ แล้วมันจะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายคุณในปัจจุบัน

Make peace with your past so it won't spoil the present.


ไม่มีใครควบคุมความสุขของคุณได้ ตัวคุณเองนั่นแหละ
No one is in charge of your happiness except you.


ระลึก ไว้เสมอว่าชีวิตเราก็เหมือนโรงเรียน เรามีชีวิตอยู่ก็เพื่อเรียนรู้
ปัญหาต่างๆก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งในบทเรียนซึ่งผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่วิชาที่คุณได้เรียนรู้นั้นมันจะอยู่กับคุณไปตลอดชีวิต
Realize that life is a school and you here to learn.
Problems are simply part of the curriculum that appear and fade away like algebra class but the lessons you learn will last a lifttime.

ยิ้มและหัวเราะให้มากๆ
Smile and laugh more.


คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกการโต้แย้ง จงยอมรับในสิ่งที่ไม่เห็นด้วยเสียบ้าง
You don't have to win every argument. Agree to disagree.

ที่มา : http://juan-a-tochi.blogspot.com/2009/05/think-good-live-happily.html

Think Good & Live Happily

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ถ้วยยูเรก้า...มหัศจรรย์อุปกรณ์วิทยาศาสตร์

ถ้วยยูเรก้า...มหัศจรรย์อุปกรณ์วิทยาศาสตร์

                         ถ้วยยูเรก้า 

อุปกรณ์

1. กระป๋อง เช่น กระป๋องนม กระป๋องเบอร์ดี้ ฯ
2. หลอด หรือ พลาสติกแข็งๆที่มีรู
3. สก็อดเทปสี
4. ตะปู ไว้สำหรับเจาะ
5. มีด

วิธีการทำ

1. นำมีดมากรีดบริเวณปากกระป๋องที่ได้เตรียมไว้
2. เจาะรูบริเวณส่วนบนของกระป๋องด้วยตะปู แล้วนำหลอด หรือพลาสติกมาใส่ที่รู
3. นำสก็อดเทปสี มาพันรอบกระป๋อง 
4. ตกแต่งให้ด้วยสวยงาม

ประโยชน์
       เพื่อทราบปริมาตรของน้ำที่เราชั่ง

วิธีการนำมาใช้

-ใส่น้ำเข้าให้เต็ม เอามืออุดทางออกของน้ำไว้ก่อน
-วางมันบนพื้นระดับ แล้วปล่อยให้น้ำไหลไปจนระดับน้ำพอดีกับปากทางออกของน้ำ
-รองภาชนะรับน้ำไว้บริเวณปลายทางออกน้ำของกระบอก
-ค่อยๆใส่วัตถุที่ต้องการทดลองลงไปช้าๆ
-เมื่อใส่วัตถุเสร็จ รอจนน้ำหยุดไกลจากปลายทางออก วัดปริมาตรน้ำที่ไหลออกมาและนำไปคำนวณต่อ



ถ้วยยูเรก้า ,,,มหัศจรรย์อุปกรณ์วิทยาศาสตร์
         อุปกรณ์ที่แสนจะหาง่าย วิธีการทำก็ง่ายๆๆ  ใครที่สนใจอุปกรณ์ชิ้นนี้ สามารถทำเองได้โดยไม่ต้องพึงใคร..........................


วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สิ่งมีชีวิต คือ อะไร ?

สรุป บทเรียนวันที่ 01/07/56
         
            สิ่งมีชีวิต คืออะไรนะ.....
หลายคนอาจจะส่งสัยกับคำถาม  แต่บ้างคนไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งมีชีวิตคืออะไร ทั้งๆที่เราเป็นมนุษย์ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน  งั้นเรามาหาคำตอบกันเลยว่าสิ่งมีชีวิตคืออะไร

         สิ่งมีชีวิต  คือ สิ่งที่สามารถใช้สสารและพลังงานจากสิ่งแวดล้อมเพื่อให้กระบวนการภายในดำเนินไปและดำรงอยู่ได้ และเมื่อดำรงอยู่ได้แล้วจะมีกระบวนการให้ดำรงอยู่ต่อไปได้โดยการสร้างสมาชิกที่เหมือนเดิมขึ้นหรือการสืบพันธ์

 สิ่งมีชีวิต ต้องมีลักษณะต่างๆ ดังนี้
  1. แมแทบอลิซึม
  2. การสืบพันธ์
  3. มีการเจริญเติบโต
  4. มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
  5. มีการเคลื่อนไหว
  6. ต้องการสารอาหารและพลังงาน
  7. มีอัตลักษณ์
  8. การหายใจ
  9. อายุขัย
  10. พันธุกรรม
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
การจัดหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต 
            พิจารณาจากความใกล้ชิดกันทางวิวัฒนาการเป็นหลัก มีการจัดหมวดหมู่ จากหมวดใหญ่ไปหาหมวดย่อยๆดังนี้
   kingdom ( อาณาจักร )
              phylam  (จำพวก )
                        class (ชั้น )
                                oder (ลำดับ )
                                       family  (วงค์ ) 
                                               genus (สกุล )
                                                        spccies (ชนิด )





kingdom biology
อาณาจักรของสิ่งมีชีวิต

วิทเทเคอร์ (R.H. WHITAKER) จำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็น 5อาณาจักร คือ 
  1. อาณาจักรมอเนอรา
  2. อาณาจักรโปรติสตา
  3. อาณาจักรพืช
  4. อาณาจักรฟังใจ
  5. อาณาจักรสัตว์

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บันทึกการเรียนรู้


สรุป  lab science  วันที่ 21 / 06 /56

     วันนี้อาจารย์ให้นักศึกษาทำการทดลอง องค์ประกอบของเซลล์ โดยมีกล้องจุลทรรศน์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการดูเซลล์พืช และเซลล์สัตว์  ในการทดลองเราเห็นอะไรบ้างนะ....

 จากการดูเซลล์พืชว่านกาบหอย

ว่านกาบหอย
 

ผลการทดลอง


ผลจากการดูเซลล์พืชว่านกาบหอย สามารถสรุปพอสังเขปได้ดังนี้

       เซลล์ว่านกาบหอย มีทั้งรูปร่างสี่เหลี่ยมและรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว เรียกว่า เซลล์คุม มีเม็ดคลอโรพลาสต์จำนวนมากภายในเซลล์

เมื่อศึกษาเซลล์ว่านกาบหอยแล้ว  แน่นอนเราต้องทำความรู้จักองค์ประกอบของเซลล์พืชกัน ว่ามีองค์ประกอบอะำไรบ้าง ........


องค์ประกอบของเซลล์พืช  มีดังนี้ .........

รูปองค์ประกอบของเซลล์พืช


จากการดูเซลล์เยื่อบุข้างแก้ม




เซลล์เยื่อบุข้างแก้ม จัดเป็นเซลล์สัตว์

ผลจากการดูเซลล์เยื่อบุข้างแก้ม สามารถสรุปได้ว่า

เซลล์เยื่่ยบุข้างแก้ม มีรูปร่างหลายเหลี่ยมแบนบาง ใส เมื่อย้อมสีจะเห็นองค์ประกอบที่ชัดเจนคือ นิวเคลียสขนาดใหญ่ มีเยื่อหุ้มเซลล์ ไซโตพลาสซึม แต่ออร์กาแนลอื่นไม่สามารถมองเห็นได้จากกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง

ในเมื่อศึกษาเซลล์สัตว์แล้ว มาดูกันเลยว่าองค์ประกอบของเซลล์สัตว์มีอะำไรบ้าง............................



รูปองค์ประกอบของเซลล์สัตว์



ปล. โลกนี้มีอะไรอีกเยอะที่จะให้เราได้ศึกษามากมาย  จากสิ่งที่เล็กที่สุดนั้นคือเซลล์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เล็กที่สุดที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เราก็สามารถศึกษาได้ด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย  และสิ่งที่ใหญ่ที่สุด ที่เราคิดว่าใหญ่อย่างเช่่นดวงอาทิตย์เราก็สามาุรถศึกษาได้เช่นกัน

จงเปลียนแปลงตัวเองไปสู่การศึกษาหาความรู้